เอปสันรุกเสริมไลน์เครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณา ย้ำจุดยืนลดมลภาวะ พร้อมเปิดตัว R-Series เครื่องพิมพ์หมึกเรซิ่นฐานน้ำรุ่นแรก
24 พฤศจิกายน 2563 – เอปสัน ผู้นำเทคโนโลยีการพิมพ์ของโลก ตอกย้ำจุดยืนการเป็นผู้ผลิตสินค้าไอทีที่มุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของยูเอ็น ผ่านการเปิดตัว SureColor SC-R5030L เครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณาที่ใช้หมึกเรซิ่นฐานน้ำ (Water-based Resin) รุ่นแรกของเอปสัน
นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “สำหรับเอปสันแล้ว ความยั่งยืนคือหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจ โดยเอปสันได้มีการทำข้อตกลงในการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ เทคโนโลยีของเอปสันจึงถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ทั้งในเรื่องการประหยัดพลังงาน ไม่ก่อให้เกิดการสิ้นเปลือง และไม่มีสารพิษที่เป็นอันตรายกับผู้ใช้และธรรมชาติ โดยล่าสุดทางเอปสันได้เปิดตัวเครื่องพิมพ์ระดับมืออาชีพสำหรับธุรกิจการพิมพ์ป้ายโฆษณาและสื่อประชาสัมพันธ์ รุ่น SureColor SC-R5030L ที่ใช้หมึกเรซิ่นฐานน้ำรุ่นแรกของเอปสัน เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการใช้หมึกเรซิ่น ทั้งยังเป็นการเสริมไลน์เครื่องพิมพ์ในตลาดนี้ ซึ่งปัจจุบันเอปสันจำหน่ายแต่เครื่องรุ่นที่ใช้หมึก อีโค่โซเวนท์ที่ปราศจากกลิ่นและสารนิกเกิ้ลที่เป็นพิษต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม”
“SureColor SC-R5030L เป็นเครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณาขนาดหน้ากว้าง 64 นิ้ว ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้กับหมึก UltraChrome RS ของเอปสัน ซึ่งมีจุดเด่นที่แห้งเร็ว ทนรอยขีดข่วน และใช้ความร้อนไม่สูงในการทำให้หมึกพิมพ์แห้งติดลงบนวัสดุ ทำให้ผู้ใช้สามารถนำผลงานไปใช้ได้ในทันที ไม่ต้องรอนาน อีกทั้งยังให้งานพิมพ์ที่มีสีสันสดใส คุณภาพสม่ำเสมอ และใช้ได้กับวัสดุหลายชนิด ทั้งไวนิลแบนเนอร์ ผ้า แคนวาส วอลล์เปเปอร์ และฟิล์ม เป็นต้น อีกทั้งยังไม่มีกลิ่นเหม็น จึงเหมาะที่จะใช้ในสถานที่ที่ต้องการความใส่ใจในเรื่องความปลอดภัยมากเป็นพิเศษ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล หรือโรงแรม หมึกเรซิ่นฐานน้ำของเอปสันยังได้รับการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมจากหน่วยงานสากลต่างๆ เช่น EcoLogo, REACH, Nordic Swan Ecolabel, GREENGUARD เป็นต้น”
นอกจากนี้ เอปสันยังได้ผลิตชิ้นส่วนประกอบทั้งหมดของเครื่องพิมพ์ซีรีส์นี้ขึ้น เอง รวมถึงหัวพิมพ์ PrecisionCore และใช้เฟิร์มแวร์และซอฟต์แวร์ของเอปสัน เพื่อรับประกันประสิทธิภาพการพิมพ์ขั้นสูงสุด สามารถเพิ่มเวลาในการทำงานได้นานยิ่งขึ้น และลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง รวมถึงใช้เทคโนโลยี Precision Dot ที่ช่วยพิมพ์งานให้ได้คุณภาพที่ดีเยี่ยม เครื่องทำความร้อน (Heater) ที่ใช้อุณหภูมิที่ต่ำกว่าในการอบน้ำหมึกให้แห้ง เมื่อเทียบกับเครื่อง พิมพ์ขนาดเท่ากันของแบรนด์อื่น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการพิมพ์บนวัสดุที่ไวต่อความร้อน หรือมีความบางมาก หรือพิมพ์งานแบบเรียงภาพต่อกันหลายแผ่น (Tiling) ทั้งยังมีเครื่องตรวจจับอัลตร้าโซนิคที่ช่วยลดความเสี่ยงการทำงานผิดพลาดของหัวพิมพ์และเตือนผู้ใช้ถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น จึงช่วยยืดอายุการใช้งานของหัวพิมพ์ได้
นายยรรยง กล่าวต่อ “หมึกเรซิ่นฐานน้ำของเอปสันได้รับการพัฒนาสูตรให้ไม่ต้องใช้ความร้อนมากนักในการทำให้งานพิมพ์แห้งติดลงบนวัสดุ ทำให้ไม่เพียงแต่ได้งานพิมพ์ที่มีสีสดใส แต่ยังช่วยประหยัดไฟ และไม่ทำให้สภาพ แวดล้อมการทำงานมีอุณหภูมิที่สูง ที่สำคัญ หัวพิมพ์ยังมีอายุการใช้งานที่นานขึ้น” SureColor SC-R5030L ใช้หมึก 6 สี ประกอบด้วย C, M, Y, K, LC (ฟ้าอ่อน) และ LM (ชมพูอ่อน) ติดตั้งในชุดจ่ายน้ำหมึกปริมาณสูงความจุ 1.5 ลิตรต่อสี จำนวน 2 ชุด สำหรับการป้อนน้ำหมึกอย่างต่อเนื่อง หากหมึกสีใดก็ตามในชุดหนึ่งหมดลง อีกชุดหมึกจะทำการจ่ายน้ำหมึกต่อเนื่องทันที รวมถึงฟังก์ชั่น Hot Swap ที่ช่วยให้ผู้ใช้ถอดเปลี่ยนชุดหมึกได้ในขณะที่การพิมพ์ยังดำเนินอยู่ ไม่เกิดปัญหาขั้นตอนการพิมพ์สะดุดหรือต้องหยุดเติมหมึก นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติการปรับแต่งค่าต่างๆ อัตโนมัติ เช่น Advanced Auto Tension Control ที่ควบคุมการป้อนสื่อสิ่งพิมพ์เข้าเครื่องได้อย่างแม่นยำไม่สั่นไหว การปรับหัวพิมพ์โดยอัตโนมัติ และการทำความสะอาดอัตโนมัติ
“การลดมลภาวะ ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยในที่ทำงานกลายเป็นเรื่องสำคัญในวงการการพิมพ์มากขึ้นทุกวัน การใช้เครื่องพิมพ์และหมึกพิมพ์ที่มีเทคโนโลยีที่สามารถตอบรับแนวโน้มนี้ได้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำธุรกิจต่อไปในอนาคตของผู้ให้บริการด้านการพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นเอสเอ็มอีหรือโรงพิมพ์ขนาดใหญ่ เอปสันจึงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง การเปิดตัว SureColor SC-R5030L ทำให้เอปสันมีเครื่องพิมพ์ที่ใช้หมึกเรซิ่นฐานน้ำให้ลูกค้าได้เลือกใช้ นอกเหนือจากเครื่องหมึกอีโค่โซเวนท์ ทั้งยังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้ไลน์สินค้าเครื่องพิมพ์สำหรับป้ายโฆษณาของเอปสันยิ่งขึ้น” นายยรรยง กล่าวทิ้งท้าย
26 พฤศจิกายน 2563