วช.-เทศบาลยะลา นำนักวิจัย ม.นเรศวร เก็บตัวอย่างซากเชื้อ SARS-CoV-2 ในน้ำเสียโสโครก ที่ยะลา หาฮอตสปอตการระบาดโควิด-19 ในชุมชน ล่วงหน้า 2 สัปดาห์


 

วันที่ 25 – 26 พฤศจิกายน 2564 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวร นำโดย ผศ.ดร.ธนพล เพ็ญรัตน์ ลงพื้นที่ จังหวัดยะลา เก็บตัวอย่างซากเชื้อ SARS-CoV-2 ในน้ำเสียโสโครก เพื่อทำแผนที่ความเสี่ยงคาดการณ์ผู้ติดเชื้อระดับชุมชนในเทศบาลนครยะลา ล่วงหน้า 2 สัปดาห์ สำหรับการดำเนินการเชิงรุกตอบโต้การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยการสนับสนุนทุนจาก วช.

ประเทศไทยยังคงอยู่ในระลอกที่ 4 ของการระบาดของเชื้อ SARS-CoV-2 สายพันธ์ุเดลต้า ทำให้โควิด-19 ระลอกนี้หนักหน่วงและรุนแรง แม้ผู้ติดเชื้อรายวันจะลดลงต่ำกว่า 10,000 รายต่อวันแล้ว แต่ในหลายจังหวัดสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อ จำนวนผู้ป่วยไม่ลดลง แม้หน่วยงานที่รับผิดชอบจะดำเนินหลายมาตรการเชิงรุก ในการตรวจหาผู้ติดเชื้อรายบุคคล อีกทั้ง การเปิดประเทศและเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า อาจจะเกิดคลัสเตอร์ใหม่ ๆ และอาจเกิดการระบาดระลอกที่ 5 หากไม่มีการเฝ้าระวังเชิงรุกและการเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning) ก่อนที่จะเกิดการติดเชื้อลามจากระดับบุคคลไปยังระดับชุมชน

ผศ.ดร.ธนพล เพ็ญรัตน์ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า นวัตกรรมการตรวจซากเชื้อ SARS-CoV-2 ในน้ำเสียโสโครกของชุมชน เป็นเครื่องมือพิเศษในการเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 ในระดับชุมชน รวมถึงสามารถใช้เทคนิคนี้ชี้เป้าฮอตสปอตของโควิด-19 ในระดับอาคาร เพื่อการดำเนินมาตรการตอบโต้ลดการแพร่ระบาดของเชื้อได้อีกด้วย คือ ผู้ติดเชื้อ SARS-CoV-2 แม้ยังไม่แสดงอาการ แต่ก็จะหลั่งเชื้อโควิดปริมาณมากออกมาทางอุจจาระ-ปัสสาวะ ทำให้สามารถตรวจเจอการระบาดในระดับชุมชน หรืออาคารได้ โดยการตรวจหากซากเชื้อในน้ำเสียโสโครกรวมของชุมชนหรืออาคารดังกล่าว ทำให้การตรวจ 1 ตัวอย่างน้ำเสียสามารถแทนการเฝ้าระวังการติดเชื้อของคนทั้งอาคาร หรือ ทั้งชุมชน ซึ่งต่างประเทศได้เริ่มใช้แล้ว58ประเทศทั่วโลก โดยไทยได้ใช้งานใน 4 จังหวัดนำร่อง คือ นครสวรรค์ พิษณุโลก ตาก และเชียงใหม่ ภายใต้การประสานความร่วมมือกับเทศบาล สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด กรมอนามัยและศูนย์อนามัย พบว่า เทคนิคนี้สามารถระบุชุมชนหรืออาคารที่มีการติดเชื้อได้ไวกว่าการตรวจรายบุคคลประมาณเฉลี่ย 2 สัปดาห์ สู่การใช้ประโยชน์ในเขตเทศบาลนครยะลา เพื่อนำข้อมูลไปทำเป็นแผนที่ความเสี่ยง คาดการณ์ผู้ติดเชื้อระดับชุมชน และเป็นการเตือนภัยล่วงหน้าก่อนการระบาด โดยการประสานงานกับเทศบาลนครยะลา

นักวิจัยได้พัฒนาการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ SARS-CoV-2 ในน้ำเสียโสโครก โดยใช้เทคนิคทางเลือก LAMP Assay ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการตรวจด้วยเทคนิค RT-qPCR ประมาณ 5 เท่า ซึ่งเทคนิค LAMP เคยนำมาใช้ตรวจตัวอย่างทางจมูกและปากมาแล้ว แต่ยังไม่มีการนำมาใช้กับเชื้อ SARS-CoV-2 ในน้ำเสียมาก่อน นักวิจัยจึงเลือกใช้เทคนิคดังกล่าวร่วมกับเทคนิค RT-qPCR เพื่อการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 เชิงรุก จากตัวอย่างน้ำเสียโสโครกในสถานที่สุ่มเสี่ยง เช่น โรงเรียน โรงงาน ห้างสรรพสินค้า ตลาด สนามบิน และส่วนต่าง ๆ ของเทศบาล ในอนาคตอยากจะพัฒนานวัตกรรมออกมาในรูปแบบโมบาย เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน โดยการเก็บตัวอย่างไม่มีความยุ่งยาก ซับซ้อน แต่สิ่งที่ท้าทายนักวิจัย คือการสกัดเชื้อด้วยวิธีพิเศษ

นายยู่สิน จินตภากร รองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครยะลา กล่าวเสริมว่า จังหวัดยะลาต้องการหลุดออกจากพื้นที่สีแดงเข้มให้ได้ เพื่อเปิดเมืองให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ได้ไปโรงเรียน ประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ได้ โดยนายกเทศมนตรีฯ ได้ทราบถึงความก้าวหน้าด้านการ swab น้ำโสโครกในชุมชน ของนักวิจัยมหาวิทยาลัยนเรศวร โดยการสนับสนุนของ วช. จึงอยากรับทราบพื้นที่ที่อาจมีผู้ติดเชื้อของเทศบาลนครยะลาจากการตรวจน้ำดังกล่าว เพื่อจะได้วางมาตรการตอบโต้ของเชื้อได้อย่างเท่าทัน

ทั้งนี้ โครงการวิจัยได้รับการสนับสนุนทุนจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในการดำเนินการเก็บตัวอย่างน้ำเสียชุมชน และการวิจัยอย่างเต็มรูปแบบ รวมพื้นที่ประมาณ 34 ตำแหน่ง แบ่งเป็น พื้นที่ในเขตเทศบาลนครยะลา 30 จุด พื้นที่นอกเขตเทศบาล 3 จุด และที่โรงพยาบาลสนามอีก 1 จุด ครอบคลุมตลาดและอาคารสาธารณะต้องสงสัย เพื่อชี้บริเวณของชุมชนที่เป็นฮอตสปอตการระบาดของโควิด-19 และนำตัวอย่างน้ำกลับไปตรวจวิเคราะห์ซากเชื้อ SARS-CoV-2 ด้วย RT-qPCR และ LAMP เพื่อคำนวณร้อยละของผู้ติดเชื้อในชุมชน และรายงานผลเป็นแผนที่ระบุความเสี่ยง คาดการณ์การติดเชื้อล่วงหน้าต่อไป โดยเทศบาลนครยะลาจะนำผลการวิจัยนี้ไปวางมาตรการเชิงรุก เพื่อลดการระบาดในชุมชนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิ การนำทีมลงตรวจ RT-qPCR , ATK หรือการจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ โดยทีมวิจัยหวังว่าการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส SARS-CoV-2 ในน้ำเสียโดยใช้เทคนิค LAMP ร่วมกับ RT-qPCR จะเป็นต้นแบบการสืบสวน และแจ้งเตือนล่วงหน้าหากพบสารพันธุกรรมของเชื้อ ทั้งนี้คณะวิจัยกำลังจัดทำฐานข้อมูลและระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์สำหรับสืบสวนการติดเชื้อในระดับชุมชนด้วยการตรวจซากเชื้อในน้ำเสีย ในอนาคตอาจได้จดสิทธิบัตรนวัตกรรมเป็นครั้งแรกของไทย หากการตรวจหามีประสิทธิภาพสูงขึ้น มหาวิทยาลัยนเรศวรจะเป็นศูนย์กลางในการใช้และถ่ายทอดเทคนิคการตรวจหาเชื้อในน้ำเสียด้วยเทคนิคดังกล่าวต่อไป

ด้าน ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า การแก้ปัญหาและรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ถือเป็นวาระแห่งชาติ วช.ได้สนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ ในฐานะหน่วยงานบริหารงานวิจัยของประเทศ (PMU) และศูนย์ปฏิบัติการด้านนวัตกรรมการแพทย์ และการวิจัยและพัฒนา เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง วช. และหน่วยงานประชาคมวิจัยได้เตรียมพร้อมนวัตกรรมทางการแพทย์อื่น ๆ เพื่อการรองรับการระบาดในระลอกใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับการตรวจหาเชื้อ SARS-CoV-2 ในน้ำเสียโดยใช้เทคนิคผสมผสาน ของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวร นับเป็นผลงานที่มีความก้าวหน้าและมีประโยชน์ต่อประเทศ สามารถลดต้นทุนการจัดการ เพื่อให้ชุมชนและสังคม สามารถเข้าถึงข้อมูล และการเตือนภัยล่วงหน้าจากการโรคอุบัติใหม่ได้

26 พฤศจิกายน 2564


บริษัท มีเดีย เน็ทเวิร์ค จำกัด
138, 140 ซอยอนามัย ถนนศรีนครินทร์ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ 10250
MEDIA NETWORK Co.,Ltd
138, 140 Soi Anamai Srinakarin Road Suanluang Suanluang Bangkok 10250
Tel. 02 721 4417 Fax. 02 721 5516
E-mail : phototechthailand@gmail.com


ติดต่อโฆษณาหรือข้อมูลเพิ่มเติม
โทร. 02 721 4417 , 097 921 2929 คุณขวัญ

แฟนเพจ Phototech Magazine


ออกแบบโดย touronthai