โครงการ “รวมพลังตามรอยพ่อฯ” ปี 7 เดินเครื่องสู่เฟสที่ 3 สานต่อศาสตร์พระราชา ลงพื้นที่จ.เลย ฟื้นฟูป่าต้นน้ำป่าสัก
ในการก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 ของโครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ร่วมกับ สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ยังคงขับเคลื่อนก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 ด้วยแนวคิด
“แตกตัวทั่วไทย สานพลังสามัคคี” นำทีมลงพื้นที่ อ. ภูหลวง จ. เลย ร่วมกันฟื้นฟูป่าต้นน้ำแถบเทือกเขาเพชรบูรณ์แหล่งกำเนิดแม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำสำคัญหลายสายที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนไทยในภาคกลาง และชาวอีสานตอนบนตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน
โครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” มุ่งเน้นการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักเห็นความสำคัญ และเห็นผลจริงในการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนพร้อมกับการแก้ปัญหาดิน น้ำ ป่า คน และหยุดท่วม-หยุดแล้งในลุ่มน้ำป่าสักอย่างยั่งยืน โดยการนำศาสตร์พระราชาที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย ไปลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในการแถลงเปิดโครงการฯปี 7 ว่า “ศาสตร์พระราชา คือ ศาสตร์ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงศึกษา ทดลอง ทรงงานมาตลอดพระชนม์ชีพ และพระราชทานแก่ชาวไทยและชาวโลกเพื่อแก้ปัญหาทุกด้านอย่างยั่งยืน จนองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ถวายพระเกียรติด้วยการประกาศให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ เป็น “วันดินโลก” มีการจัดตั้งสมัชชาดินโลก สมัชชาดินแห่งเอเชีย สมัชชาดินแห่งประเทศไทย ตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยดินแห่งภูมิภาคเอเชีย CESRA (Center of Excellence for Soil Research in Asia) ซึ่งมีเป้าหมาย 3 เรื่องตรงกับที่พระองค์ทรงทำไว้ทั้งหมด คือ Soil Pollution การทำกสิกรรมธรรมชาติ หยุดสารพิษลงดิน Soil Erosion หยุดการชะล้างและการพังทลายของหน้าดิน ที่ทำให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน และ Soil Diversity การสร้างความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตบนดินซึ่งหมายถึงเรื่องป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ที่โครงการฯ ทำมาทั้งสิ้นอย่างต่อเนื่อง”
“การดำเนินการต่อเนื่องตลอด 6 ปีที่ผ่านมาทำให้โครงการขยายตัวไปอย่างมาก ซึ่งต้องถือว่าเป็นการขยายตัวในเชิงนโยบายไปถึงระดับชาติและระดับโลกแล้ว และตรงกับเป้าหมายในปีที่ 7 ของโครงการฯ และได้รับความร่วมมือจาก
7 ภาคีที่ร่วมขับเคลื่อน ได้แก่ ภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคศาสนา และสื่อมวลชน เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน วางรากฐานการพัฒนามนุษย์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติระดับลุ่มน้ำ และเพื่อเชื่อมโยง 25 ลุ่มน้ำทั่วประเทศอย่างเป็นเอกภาพ”
นายอาทิตย์ กริชพิพรรธ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า “เชฟรอนภูมิใจที่มีส่วนร่วมขับเคลื่อนและสนับสนุนโครงการมาอย่างต่อเนื่องจนประสบความสำเร็จเช่นนี้ ด้วยการเป็นแกนนำภาคเอกชนทั้งพนักงานของเราเองและพันธมิตรในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ และสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร การดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างชัดเจน และพิสูจน์ได้ว่าการประยุกต์ ‘ศาสตร์พระราชา’ ทั้งหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ มาใช้ร่วมกับภูมิปัญญาท้องถิ่น สามารถพลิกฟื้นพื้นที่แห้งแล้งให้กลับเขียวขจี ทำให้เกษตรกรให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นจริง ปลดหนี้ได้ ที่สำคัญเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม เชฟรอนจึงยังยืดหยัดที่สนับสนุนและมีความหวังที่จะเห็นการขยายตัว แตกตัวไปให้ครบทั้ง 25 ลุ่มน้ำทั่วประเทศ”
นายอาทิตย์กล่าวเสริมว่า “โครงการนี้มีแนวคิดสอดคล้องกับโครงการเพื่อสังคมของเชฟรอน ที่มุ่งเน้นการสร้างคน องค์ความรู้ และจิตสำนึก และสนับสนุนนโยบายด้านสังคมทั้ง 4 ด้านของเชฟรอน คือ ด้านการศึกษาด้วยการเผยแพร่องค์ความรู้ศาสตร์พระราชาสู่การลงมือปฏิบัติ ด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต ที่ช่วยให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นสามารถพึ่งพาตนเองได้ ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ได้แก่การช่วยฟื้นฟู ดิน น้ำ ป่า และด้านการส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคม ขณะเดียวกัน ยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนหรือ Sustainable Development Goals –SDGs ขององค์การสหประชาชาติหลายข้อจาก 17 ข้อ ที่มุ่งเน้นการลดความหิวโหย จากการสร้างแหล่งอาหารที่ปลอดภัยและมั่นคงในพื้นที่ของตัวเอง รวมถึงขจัดความยากจน ที่สอนให้รู้จักพึ่งพาตนเองและดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เริ่มจากการพอมี พอกิน พอใช้ ซึ่งเป็นขั้นพื้นฐานของการพัฒนาอย่างมั่นคง”
นายไตรภพ โคตรวงษา ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และตัวแทนสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง เครือข่ายภาควิชาการกล่าวว่า “เรายังคงใช้กลยุทธ์การ ‘เอามื้อสามัคคี’ หรือ การลงแขกตามประเพณีดั้งเดิมของคนไทยมาเป็นกลวิธีในการขับเคลื่อน และขยายผลให้ครอบคลุม 25 ลุ่มน้ำทั่วประเทศไทยตามเป้าหมายที่โครงการตั้งไว้ การดำเนินงานในระยะที่ 3 นี้ เราขยายฐานในวงกว้างพร้อมกับสร้างความเข้มแข็งในเชิงลึก โดยการสานพลังสามัคคี พัฒนามนุษย์ และฟื้นฟูลุ่มน้ำไปพร้อมกัน เราเร่งสร้างผู้นำและเสริมศักยภาพให้แก่คนเหล่านี้เพื่อให้เป็นแม่ทัพในลุ่มน้ำต่างๆ ทั่วประเทศ เราให้ทีมงานของมูลนิธิฯ ลงพื้นที่มากขึ้น เพื่อดูว่าศูนย์เรียนรู้ต่างๆ ที่สร้างไว้เป็นอย่างไร หากติดขัดหรือต้องการความช่วยเหลือด้านไหน เราจะไปหนุนเสริม เพราะเขาคือผู้ออกไปรบจึงต้องมีความพร้อม เป็นการเสริมความสามัคคีเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาและขยายผลไปสู่ทุกลุ่มน้ำได้อย่างเข้มแข็ง โดยสามารถพึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืน”
กิจกรรมเอามื้อสามัคคีเพื่อฟื้นฟูป่าต้นน้ำป่าสักที่จะจัดขึ้นที่ อ.ภูหลวง จ.เลย นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย กล่าวในฐานะเจ้าบ้านว่า “จังหวัดเลย ตั้งอยู่ทางตอนบนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา จึงเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญ ได้แก่ ต้นน้ำเลย ลำน้ำพุง ลำน้ำพอง และแม่น้ำเหือง มีเนื้อที่ทั้งหมด 6,562,289 ไร่ มีสภาพป่าคงเหลือ 2,119,436 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 32.30 ของพื้นที่ แนวโน้มในการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของพื้นที่ป่ามีลักษณะคงที่ แสดงว่าไม่มีการบุกรุกพื้นที่แปลงใหญ่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ถ้าส่งเสริมให้ประชาชนปลูกต้นไม้ในพื้นที่ของตนเองในลักษณะปลูกสวนป่าเพื่อเศรษฐกิจ จะทำให้ จ.เลยมีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นได้ และยังเป็นการส่งเสริมอาชีพให้ราษฎรได้อีกทางหนึ่ง”
สำหรับกิจกรรมครั้งนี้ จังหวัดได้มอบหมายสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเลย ร่วมกับ อ.ภูหลวง อบต.เลยวังไสย์ หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ลย. 9 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง และเจ้าหน้าที่มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ร่วมกันตรวจสอบเพื่อจัดกิจกรรมเอามื้อสามัคคีในแปลงที่ดินของนายแสวง ดาปะ บ้านศรีเจริญ ต.เลยวังไสย์ อ.ภูหลวง จ.เลย ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติอยู่ระหว่างป่าภูหลวง และป่าภูหอ ที่กรมป่าไม้ได้มอบให้ สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ดูแล ส่วนกิจกรรมนำสื่อมวลชนชมต้นน้ำป่าสัก จะดำเนินกิจกรรมบริเวณจุดชมวิวสักหง่า บ้านหินสอ ต.ปลาบ่า อ.ภูเรือ จ.เลย
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความรัก ความสามัคคีของชาวจ.เลย และประชาสัมพันธ์การจัดกิจกรรมและการรณรงค์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงได้ร่วมกับชมรมจักรยานจังหวัดเลย โดยนายกเทศมนตรีเมืองเลย นายสัมพันธ์ คูณทวีลาภผล จัดกิจกรรมปั่นจักยานรณรงค์ประชาสัมพันธ์ ในวันที่
1 สิงหาคม 2562 โดยขบวนจักรยานจะออกจาก อ.เมืองเลย ถึง อ.วังสะพุง รวมระยะทางประมาณ 45 กม. ซึ่งจะได้เชิญประชาชน และนักปั่นจักรยานเข้าร่วมกิจกรรมโดยพร้อมเพรียงกัน
ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล รักษาการผู้อำนวยการศูนย์บูรณาการเทคโนโลยีเพื่อการแก้ไขปัญหาประเทศ สจล. หนึ่งในภาคีเครือข่ายภาควิชาการ กล่าวถึงความคืบหน้าของ “โครงการวิจัย ‘การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทย การติดตามและประเมินผลเพื่อบริหารจัดการน้ำและชุมชนอย่างมีส่วนร่วม’ ของศูนย์บูรณาการเทคโนโลยีเพื่อการแก้ไขปัญหาประเทศ สจล. (ITOKmitl) ว่า ได้มีการลงพื้นที่เพื่อจัดเก็บข้อมูล รวมทั้งออกแบบและปรับปรุงการพัฒนาพื้นที่ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ ให้เป็นระบบและได้มาตรฐานทางวิชาการ สามารถนำฐานข้อมูลมาประมวลผลในมิติต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสภาพแวดล้อม โดยมีพื้นที่วิจัยอยู่ใน 3 จังหวัด คือ อ. นาเรียง จ.อุดรธานี อ.แม่ระมาด จ.ตาก และ อ.แม่ฮ่าง จ.ลำปาง จำนวน 30 ราย รวม 300 ไร่ แต่เนื่องจากมีผู้ให้ความสนใจจำนวนมาก จึงขยายพื้นที่วิจัยเป็น 40 ราย 400 ไร่ ทั้งนี้ ศูนย์ฯ ได้ส่งข้อมูลเรื่องดินบางส่วนจาก 200 กว่าตัวอย่างใน 3 พื้นที่ให้แก่กรมพัฒนาที่ดินซึ่งสามารถวัดได้ละเอียดกว่า และได้รับผลตรวจกลับมาแล้วเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ขั้นตอนต่อไป คือ การนำข้อมูลทั้งหมดมาสรุปเป็นผลวิจัย ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง
“นอกจากผลวิจัยที่เป็นตัวเลขสถิติ เราสามารถวัดความสำเร็จของโครงการด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องคน เพราะหัวใจของโครงการ คือ การสร้างคน การต่อยอดคนมีใจ เช่น ที่ อ.นาเรียง จ.อุดรธานี เครือข่ายเปิดศูนย์ฝึกและอบรมคนไปแล้ว 3 รุ่นๆ ละ 100 คนรวม 300 คน ที่ห้วยกระทิง แม่ระมาด จ.ตาก เครือข่ายเปิดศูนย์ฝึกและอบรมไปแล้ว 2 รุ่น ส่วนที่แม่ฮ่าง จ.ลำปาง แม้จะไม่ได้มีการเปิดศูนย์ฝึก แต่มีความสำเร็จในรายบุคคล นอกจากนี้เครือข่ายยังตระเวนสอนการออกแบบพื้นที่ในหลายจังหวัด เช่น จ.น่าน จ.พะเยา จ.แพร่ จ.สุโขทัย แม้ว่าเราจะใช้มาตรฐานเดียวกันในการวัดความสำเร็จของทั้ง 3 พื้นที่ไม่ได้ เพราะแต่ละพื้นที่มีบริบททางสังคมต่างกัน แต่ถือได้ว่าเราประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจ”
โครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” ปีที่ 7 ยังคงเดินหน้าเผยแพร่องค์ความรู้ศาสตร์พระราชาสู่การลงมือปฏิบัติในพื้นที่ต่างๆ ด้วยการจัดกิจกรรมต่อเนื่องตลอดทั้งปี อาทิ
- วันที่ 1 สิงหาคม 2562 ร่วมกิจกรรมขบวนปั่นจักรยานรณรงค์ จากศาลากลางจังหวัดเลย ถึงวัดป่าประชาสรรค์ อ. วังสะพุง จ.เลย พร้อมแวะทำกิจกรรมในพื้นที่ของเครือข่ายและคนมีใจ รวมระยะทาง 45 กม.
- วันที่ 2-4 สิงหาคม 2562 ร่วมกิจกรรมเอามื้อสามัคคี ณ ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติภูหลวง และไร่นาป่าสวนขุนเลยของนายแสวง ปาดะ อ.ภูหลวง จ.เลย
- วันที่ 12 กันยายน 2562 ชมพื้นที่ของนายประวีณ ศิราไพบูลย์พร(ติ่ง) และนางสาวกรองกาญน์ ศิราไพบูลย์พร(ต๋อย) 2 พี่น้องชาวปกาเกอะญอ พื้นที่ในโครงการวิจัย “การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทย การติดตามและประเมินผลเพื่อบริหารจัดการน้ำชุมชนอย่างมีส่วนร่วม” ของศูนย์บูรณาการเทคโนโลยีเพื่อการแก้ไขปัญหาประเทศ สจล. ที่บ้านแม่ฮ่าง อ.งาว จ.ลำปาง
- วันที่ 26 ตุลาคม 2562 ร่วมงาน “สานพลังสามัคคี” ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
ผู้ที่สนใจติดตามกิจกรรมได้ทาง www.facebook.com/ajourneyinspiredbytheking หรือดูรายละเอียดที่ https://ajourneyinspiredbytheking.org
20 มิถุนายน 2562